วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มะนาวกับสุขภาพ



          มะนาว เป็นผลไม้ที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน นอกจากจะเป็นเครื่องปรุงอาหารรสแซบที่หลายคนขาดไม่ได้ยังมีประโยชน์อีกมาก มาย เช่น เป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง สมุนไพร ทำเป็นน้ำยาล้างจานรักษาความสะอาด เครื่องหอมดับกลิ่น 

         ที่สำคัญในทางการแพทย์ น้ำมะนาวสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมของยารักษาโรคได้ เช่นโรคลักปิดลักเปิด ยาแก้ไอขับเสมหะ หลายคนคงรู้จักดีว่าต้องบีบหรือคั้นน้ำ ผสมน้ำผึ้ง แล้วจึงใส่เกลือเล็กน้อยเพื่อให้จิบบ่อย ๆ ก็จะช่วยได้เป็นอย่างดี หรือจะใช้เป็นยาทาแก้กลาก เกลื้อน หิด ด้วยการบีบน้ำมะนาวผสมผงกำมะถันทาก่อนนอน ทาแก้น้ำกัดเท้าก็ได้ด้วย
         สำหรับเปลือกของมะนาว ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กันแม้จะมีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ซึ่งวิธีใช้โดยการนำเปลือกสดของมะนาวประมาณครึ่งผล คลึงให้น้ำมันออกมาแล้วฝานบาง ๆ ชงกับน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการหรือหลังอาหาร 3 เวลา      
          นอกจากนี้ มะนาวยังสามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ร่างกายได้ด้วย เช่น ช่วยลดและควบคุม คอลเลสเตอรอลในเลือดซึ่งเป็นไขมันไม่ดี จะทำให้ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจเป็นอย่างดีโดยเฉพาะผู้หญิงวัยทอง ในระยะหลังมีผลงานวิจัยจากต่างประเทศหลายชิ้นงานที่ระบุว่า น้ำมะนาวเข้มข้นมีฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ปอด ช่องปาก กระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย
          นับว่าผลไม้ลูกเล็กๆ นี้มีประโยชน์อเนกอนันต์ จงใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ยังสร้างรายได้ให้ชาวไร่ชาวสวน ในขณะเดียวกันการปลูกมะนาวก็ยังส่งผลต่อการรักษาสภาพดิน น้ำ เรียกว่าส่งเสริมการใช้การกินมะนาวได้ประโยชน์ทั้งคน และสิ่งแวดล้อม ใครที่ไม่ชอบก็ต้องหัด ใครที่ชอบก็ส่งเสริมให้กินให้ใช้มะนาวแท้ ๆ อย่าไปใช้มะนาวเทียม หรือ น้ำอัดลมรสมะนาว เพราะนั่นจะไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ต้องการแล้วอาจมีโทษแทรกมาอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://herbal.muasua.com/

เค้กข้าวโพด^^

เมนุต่อไปนี้คือ..เค้กข้าวโพด.. 
แน่นอนค่ะว่าต้องมีข้าวโพดเป็นส่วนประกอบ..ข้าวโพดซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำมาทำขนมแบบไทยๆ วันนี้เราจะมาดูวิธีทำข้าวโพดไทยให้เป็นขนมเค้กของฝรั่งกันค่ะ “เค้กข้าวโพด” อร่อยได้คุณค่า เพราะมีข้าวโพดเหลืองซึ่งอุดมด้วยวิตามินบีที่ช่วยการทำงานของระบบสมองเป็นส่วนผสมหลัก และมีงาดำที่เป็นราชินีแห่งวิตามินอีที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมเป็นส่วนผสมรอง ทำง่าย อร่อย ได้สุขภาพเช่นนี้ จะไม่ลองทำให้คนในครอบครัวได้ลิ้มลองได้อย่างไรค่ะ:)

ส่วนผสม
แป้งโฮลวีต 220 กรัม
เบกกิ้งโซดา 1 ½ ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำข้าวโพด 1 ¼ ถ้วย
น้ำตาลแดง 70 กรัม
น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
กลิ่นวานิลา 2 ช้อนชา
น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันเมล็ดทานตะวัน 120 กรัม
ข้าวโพดเหลืองต้มสุกฝาน 1 ถ้วย
งาดำคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
ข้าวโพดเหลืองต้มสุกฝานและงาดำคั่วเล็กน้อย(สำหรับแต่งหน้า) 
เนยขาวเล็กน้อย(สำหรับทาถาดพิมพ์)

วิธีทำ
1.ผสมแป้งโฮลวีต เบกกิ้งโซดา เกลือ คนให้เข้ากัน พักไว้
2.เทน้ำข้าวโพด น้ำตาลแดง น้ำผึ้งลงไป ใช้ตะกร้อมือตีส่วนผสมที่ได้ให้เข้ากัน
3.เทน้ำมันมะกอก กลิ่นวานิลา งาดำคั่ว ข้าวโพดเหลืองลงไป ใช้ตะกร้อมือตีส่วนผสมให้เข้ากัน พักไว้ 5-10 นาที 
4.ทาเนยขาวที่ถ้วยพิมพ์ให้ทั่ว เทส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์ประมาณ ¾ ของถ้วย
5.โรยงาดำคั่วและข้าวโพดเหลืองลงไป
6.อบเค้กที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 20 นาที นำออกจากเตาอบ 

Tips
• สามารถใช้ข้าวโพดขาวแทนข้าวโพดเหลืองก็ได้เช่นกัน
• ควรพักแป้งที่ตีไว้สักครู่ เพื่อให้แป้งดูดซึมส่วนผสมที่เป็นน้ำเข้าไว้ในเนื้อ เมื่ออบเค้กสุกแล้วจะทำให้เนื้อเค้กนุ่มและมีรสชาติเข้มข้น

ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 306 : 
http://www.cheewajit.com/articleView.aspx?cateId=3&articleId=2100

เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง..น้ำตาลทราย


           คำกล่าวที่ว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา ยังคงเป็นความจริง เพราะแม้น้ำตาล จะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ เป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไป
1.
เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
2.
ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับ ในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกาย ที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง
3.
หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ดังนั้น อวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมันและน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น
4.
การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน
5.
อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวาร ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ เหล่านี้ล้วนสัมพันธ์ กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
6.
น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยุ่ ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร
7.
น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาล ในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะ และฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่
                                                                                                                                                                                    



ขอบคุณข้อมูลจาก : 
http://www.yourhealthyguide.com/article/an-sugar-avoid.html
http://www.yourhealthyguide.com/

ลูกชิ้นงาดำ :: อร่อยได้...ไม่เบียดเบียน


           วันแรกขอเริ่มต้นด้วยเมนูนี้เลยค่ะ...ลูกชิ้นงาดำ


      เป็นเมนูอาหารว่างคะ ฟังชื่อแล้วอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นอาหารคาวนะคะ จริงๆแล้วมันก็กึ่งๆ จะออกไปแนวของหวานซะมากกว่า ทำเป็นลูกชิ้นและเราแต่งรสให้เป็นกลางๆ ทานเป็นอาหารว่างกับน้ำจิ้มสูตรต่างๆ หรือจะนำไปใส่ในก๋วยเตี๋ยวก็ได้ทั้งนั้น ส่วนผสมทำจากถั่วเหลือง(แบบที่ใช้ทำน้ำเต้าหู้ค่ะ) สำหรับพระเอกในเมนูนี้อย่างเจ้า "ถั่วเหลือง" ไม่ได้มีคุณประโยชน์เพียงแค่ผู้หญิง แต่ผู้ชาย จนถึงเด็กๆต่างก็ได้รับประโยชน์จากถั่วเหลืองได้ดังข้อมูลนี้คะ
  • มีการวิจัยพบว่า ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ช่วยลดและป้องกัน โรคมะเร็งเต้านม และ บรรเทาอาการ ข้างเคียงจาก ภาวะหมดประจำเดือน
  • พบว่า ช่วยป้องกันและแก้ไข โรคหัวใจ  เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่มีคอเรสเตอรอล มีไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ยังมี โอเมกา 3 และวิตามิน อี
  • พบว่าช่วยป้องกันและยับยั้งโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก  แม้ว่ากลไกในการทำงานของมันเรายังไม่ทราบ แต่นักวิจัยพบว่า ผู้ชายที่รับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองยิ่งมากเท่าไร การเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากยิ่งพบน้อยลง
  • ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากถั่วเหลืองมีไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร  และจากการวิจัยยังพบว่าผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ได้
  • เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับนักมังสวิรัต  เพราะถั่วเหลืองมีสารอะมิโน เอซิด ที่จำเป็นต่อร่างกาย
  • ใช้แทนน้ำนมวัว ในเด็กที่แพ้นมวัว และแพ้แลคโตสในนม เราสามารถใช้น้ำนมถั่วเหลืองชดเชยได้
  • ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน  เพราะถั่วเหลืองมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบน้อย และยังไม่มีคอเลสเตอรอล
สรรพคุณที่มากมายอาจจะไม่ได้ทั้งหมดในเมนูนี้เราจึงเพิ่มสีสันและคุณค่าทางอาหารจากงาดำเข้าไปได้ความหอมด้วยนะคะ มาดูวิธีการทำกันค่ะ

เตรียมส่วนผสมโดยถั่วเหลืองแบบซีกแช่น้ำให้นิ่ม(ประมาณ 30 นาที) นำไปนึ่งให้สุกและบดผสมกับงาดำบดให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้แป้งทอดกรอบหรือแป้งข้าวจ้าวในอัตราส่วน ถั่วเหลือง+งาดดำบด 1 ส่วนแป้ง 1 ส่วนเท่าๆ กัน หรือจะใชเแป้งทั้งสองชนิดเลยก็ได้กะให้อยู่ในอันตราส่วนดังกล่าว ผสมกับเกลือป่นเล็กน้อยในชามผสม


นวดให้ส่วนผสมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วปั้นเป็นก้อนๆ ขนาดเท่ากับเหรียญบาท จะใช้วิธีการบีบขึ้นแล้วปาดเหมือนๆกับทำลูกชิ้นก็ได้ค่ะง่ายดี

จากนั้นคั้งกระทะไฟปานกลาง น้ำมันค่อนข้างเยอะ นำลูกชิ้นลงทอด ทอดให้เหลืองกรอบจนทั่ว ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

จัดทำน้ำจิ้มหรืจะทนกับซอสพริกหรือน้ำจิ้มไก่เลยก็ได้ค่ะ สำหรับเด็กๆ อาจจะเป็นซอสมะเขือเทศหรือน้ำจิ้มบ๊วย ส่วนน้ำจิ้มที่"หัวหอม"ทำใช้น้ำจิ้มบ๊วย+ถั่วลิสงคั่วป่น+พริกป่น นิดหน่อย

จัดใส่จานเสริฟกันเลยค่ะ ทานร้อนๆจะกรอบ..อร่อยจนหยุดไม่ได้เลย (^_^) ไม่รู้เหมือนกันว่าเก็บไว้จะกรอบนานมั้ย..มันหมดซะก่อน..เอาไว้ทำอีกทีเยอะๆ ลองดูเดี๋ยวจะมาบอกกันนะคะ



ขอบคุณข้อมูลจาก : http://vegetarian-mystyle.blogspot.com/2010/11/blog-post_23.html
                           http://vegetarian-mystyle.blogspot.com

Greeting! :)

       สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่ Blog ใหม่ที่จะพาคุณไปรู้จักกับอาหารเพื่อสุขภาพ...
ที่นอกจากจะได้สุขภาพที่ดีมาครอบครองแล้วยังไม่เบียดเบียนผองเพื่อนผู้น่ารักของเราด้วย:)


ก่อนอื่นมารู้จักถึงความสำคัญของอาหารเื่พื่อสุขภาพกันค่ะ

       ในยุคของการแข่งขัน ที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน ชีวิตมีความรีบเร่งมากขึ้น จนไม่ค่อยมีเวลาที่จะให้ความสำคัญกับเรื่อง ความสมดุลของอาหารที่รับประทานรวมทั้งค่านิยมการรับประทานอาหารแบบตะวันตก ซึ่งประกอบด้วย เนื้อสัตว์ ไขมัน นม เนย เป็นส่วนใหญ่ ทำให้คนไทยมีโรค ซึ่งเกิดจากการกินดีเกินไป เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคอัมพาต ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับความเสื่อมของหลอดเลือด
       ในปัจจุบันชาวตะวันตกเริ่มตระหนักถึงพิษภัยของการกินอาหาร ซึ่งไม่สมดุลได้มีการชักชวนให้ลดการรับประทาน เนื้อสัตว์ นม เนย ให้เพิ่มการรับประทาน พืช ผัก และธัญพืช ซึ่งอุดมด้วยเส้นใยจากธรรมชาติ และวิตามิน 
       ในวัยเด็ก เนื้อสัตว์และนม ยังเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโตในวัยผู้ใหญ่ร่างกายต้องการโปรตีนลดลง การรับประทานเนื้อสัตว์ และนมมากเกินไปยังทำให้ร่างกายได้รับไขมันเพิ่ม เนื่องจากในเนื้อสัตว์และนมจะมีปริมาณไขมันค่อนข้างสูง นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์มาก ๆ มีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้สงูควรเปลี่ยนแปลงมารับประทานโปรตีนจากพืชพวกถั่วแทน 
       อาหารอีกกลุ่มซึ่งไม่ควรรับประทานมากเกินไป คือ น้ำตาล พบว่าน้ำตาลทำให้หลอดเลือดมีความเสื่อมเร็วขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจะพบว่าหลอดเลือดแก่ก่อนวัย ไขมันก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรจำกัด และใช้น้ำมันจากพืชแทน น้ำมันจากสัตว์ ยกเว้นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีโคเรสเตอรอลสูง อาหารที่ควรรับประทานคือ ผัก ผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่ว เพราะอุดมไปด้วย กากใยธรรมชาติ วิตามิน และเกลือแร่




ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://pirun.ku.ac.th/~b521020095/healthfood.htm
                               http://vegetarian-mystyle.blogspot.com/